คนที่จะไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกต้องอ่าน! แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น สามารถเดินทางจากกรุงเทพฯ ด้วยเครื่องบินได้อย่างราบรื่น
ปัจจุบันมีเที่ยวบินตรงจากเมืองไทยไปญี่ปุ่นหลายหลายเส้นทาง ทำให้ประเทศญี่ปุ่นขึ้นชื่อว่าเป็นจุดหมายปลายทางที่เดินทางได้ง่ายและสะดวกสบายของนักท่องเที่ยวชาวไทยเลยทีเดียว
ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศที่มีนักท่องเที่ยวชาวไทยนิยมไปเที่ยวกันเยอะมาก และเนื่องจากวัฒนธรรมที่แตกต่าง น่าหลงใหลและมีจุดท่องเที่ยวหลายแห่งที่น่าสนใจ อีกทั้ง ยังมีการบินโลว์คอสราคาย่อมเยาว์มากมายให้เลือกสรร เปิดโอกาสให้กับเหมาะสำหรับนักเดินทางที่มีงบประมาณจำกัดสามารถท่องเที่ยวไปได้อีกด้วย
ดังนั้น ขอแนะนำข้อมูลเกี่ยวกับเมืองต่างๆ ในญี่ปุ่นที่มีไฟล์ทบินตรงจากเมืองไทย หากนักท่องเที่ยวที่กำลังวางแผนที่จะเดินทางไปญี่ปุ่นในอนาคตอันใกล้ สามารถนำข้อมูลต่อไปนี้มาใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงได้
เรายังมีบทความเกี่ยวกับวิธีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตดาต้าโรมมิ่งเมื่อเดินทางไปญี่ปุ่น ซึ่งสามารถศึกษาได้จากบทความต่อไปนี้ หากมีคำถามเรื่องการใช้ดาต้าระหว่างการเดินทาง สามารถอ้างอิงข้อมูลข้างล่างนี้ได้เลย
โตเกียว (TOKYO)
ขอเริ่มต้นจากกรุงโตเกียวเมืองหลวงของญี่ปุ่นก่อน มหานครโตเกียวมีสนามบิน 2 แห่งคือ Haneda และ Narita ซึ่งมีไฟล์ทบินตรงจากเมืองไทยไปยังสนามบินทั้ง 2 แห่ง และหลังจากที่นั่งเครื่องบินเดินทางไปถึงสนามบิน ก็สามารถเดินทางต่อไปที่ดาวน์ทาวน์ของโตเกียวได้โดยนั่งรถไฟได้อย่างง่ายดายและไร้กังวล
ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยังโตเกียวประมาณ 6 ชั่วโมง
มหานครโตเกียวเป็นเมืองหลวงและมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 14 ล้านคน ซึ่งมากกว่าครึ่งของประชากรในกรุงเทพฯ ที่มีประชากรอยู่ประมาณ 8 ล้านคนเท่านั้น
หลายๆคนอาจจะคิดว่าโตเกียวเป็นเมืองใหญ่ที่มีความทันสมัย คงจะไม่มีโอกาสได้สัมผัสวัฒนธรรมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมมากนัก แต่ความเป็นจริงไม่ได้เช่นนั้นสักทีเดียว
เพราะหากคุณลองไปที่ย่าน “อาซาคุสะ” (浅草) คุณจะพบว่ามีวัดอาซาคุสะและประตูคามินาริ (雷門) ที่เป็นโคมสีแดงสไตล์ญี่ปุ่นแบบดังเดิมตั้งตระหง่านอยู่ นอกจากนี้ อาจจะมีคนไม่ค่อยรู้จักย่านที่มีชื่อว่า “ยะนากะ” สักเท่าไหร่ ที่สามารถเยี่ยมชมวัดญี่ปุ่น 7 ที่ตามเส้นทางแสวงบุญในย่านยานะกะ(谷中七福神) และร้านค้าต่างๆในย่านเก่าแก่ นักท่องเที่ยวสามารถเพลิดเพลินกับสถานที่และบรรยากาศที่ดึงดูดของสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นสไตล์ Retro ได้ด้วย ซึ่งทั้งการเข้าถึงวัดต่างๆ และย่านร้านค้าเก่าแก่ล้วนสามารถเดินทางไปด้วยรถไฟสาย JR Yamanote ได้ทั้งสิ้น
สำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสบรรยากาศที่มีความโมเดิร์นชิคๆสไตล์ญี่ปุ่น มีสถานที่ต่างๆ มากมายให้เลือกสรร ไม่ว่าจะเป็นย่าน Shibuya (渋谷) Shinjuku(新宿) Harajuku(原宿) Omotesando(表参道) สถานที่เหล่านี้ก็สามารถเดินทางไปได้ด้วยรถไฟสาย JR Yamanote ได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ไอเท็มอีกสิ่งที่จำเป็นสำหรับนักท่องเที่ยวที่ญี่ปุ่นคือ IC Card บัตร Suica ที่สามารถเติมเงินไว้ใช้เดินทางด้วยรถไฟ จะได้ไม่ต้องมาซื้อตั๋วทุกครั้ง สามารถประหยัดเวลาได้อีกด้วย
สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ถ้าไม่เคยมาก็ต้องไปโดนอย่างน้อยสักครั้ง คือ Tokyo Disney Resort อยู่ในจังหวัด Chiba (千葉) ซึ่งติดกับโตเกียว Tokyo Tower (東京タワー) และ Tokyo Sky Tree (東京スカイツリー) ที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่มาไม่กี่ปีที่ผ่านมา
โอซาก้า (OSAKA)
มหานครที่ใหญ่เป็นรองจากโตเกียวก็คือ “โอซาก้า” นั่นเอง เป็นเมืองใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคตะวันตกของประเทศญี่ปุ่น เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยนักธุรกิจ ถ้าเทียบกับโตเกียวแล้วโอซาก้าจะเป็นเมืองที่มีความแน่นความเต็มที่เปี่ยมไปด้วยความสนุกสนานและน่าตื่นเต้นมากกว่า
ระยะเวลาในการเดินทางไฟล์ทตรงจากกรุงเทพฯไปยังโอซาก้าใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง เดินทางเร็วกว่าไปโตเกียว 1 ชั่วโมง โดยจากท่าอากาศยานคันไซ (Kansai International Airport)เข้าไปยังเมืองโอซาก้า นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางด้วย “รถบัส” หรือ “รถไฟ” ได้โดยตรงด้วยราคาไม่แรงมาก เข้าสู่ดาวน์ทาวน์ได้อย่างสะดวกสบาย
โอซาก้าแอบมีชื่อเล่นที่เรียกกันว่าเมืองที่ “กินจนสลบเหมือดกันไปข้าง” เพราะด้วยวัฒนธรรมท้องถิ่นของเมืองที่เต็มไปด้วย “ของกิน” ที่มากมายให้เลือกสรร
เมนูอาหารที่เกิดขึ้นที่โอซาก้าเช่น พิซซ่าญี่ปุ่นที่เรียกกันว่า O-konomi-yaki (お好み焼き) Takoyaki (たこ焼き) ไม้เสียบของทอดต่างๆ Kushi-katsu (串カツ) จริงๆ เมนูเหล่านี้ก็หาทานได้ในกรุงเทพฯ แต่การไปชิมของออริจิที่นั่นเลยก็ไม่เหมือนกัน ที่สำคัญให้ปริมาณเยอะมากและราคาจับต้องได้ ยังไงก็ควรไปโดนให้รู้เอง
ย่านที่เป็นที่นิยมอย่างมากในโอซาก้าคือ Shinsai Bashi / Namba (心斎橋・難波) ที่นักท่องเที่ยวเกือบจะทุกรายต้องไปถ่ายรูปกับป้ายโฆษณาของกูลิโกะ (Glico) ถ้าไม่ได้ไปถ่ายเท่ากับไปไม่ถึงโอซาก้า และสามารถเพลิดเพลินกับการช็อปปิ้ง เดินไปกินไปเนื่องจากมีของกินดาษดื่นเต็มถนนทั้งสาย นอกจากนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอย่าง “ปราสาทโอซาก้า” ที่ตั้งอยู่ในใจกลางเมือง ซึ่งควรค่าแก่การเยี่ยมชมสำหรับผู้ที่หลงไหลในสถาปัตยกรรมเก่าแก่ของญี่ปุ่น
โอซาก้าเมื่อรวมกับ “เกียวโต” และ “โกเบ” จะถูกเรียกว่า “สามเมืองหลัก” ในภูมิภาคคันไซโดยเฉพาะเกียวโต เป็นเมืองเก่าแก่ที่มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายที่คุณสามารถสัมผัสวัฒนธรรมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมได้ ไหนๆก็ไปโอซาก้า ไม่ควรพลาดที่จะเดินทางไปเกียวโต้เพื่อชมความงามของเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่นด้วย การเดินทางด้วยรถไฟระหว่างโอซาก้าใช้เวลาเพียงแค่ 1 ชั่วโมง 30 นาที สามารถไปเที่ยวเช้าเย็นกลับภายในวันเดียวได้ ถ้าไม่อยากค้างที่นั่น
ฮอกไกโด (HOKKAIDO)
สถานที่ต่อไปที่ต้องแนะนำคือเกาะฮอกไกโด(Hokkaido) เกาะนี้เป็นพื้นที่ที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเยอะมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่หิมะตก เป็นช่วงเวลาท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอาหาะทะเลของฮอกไกโดที่ต่างชาติและคนญี่ปุ่นต่างๆ พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าที่ฮอกไกโด “ซีฟู้ด” อร่อย นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปยังสนามบินของเมืองซัปโปโร (Sapporo) ที่ฮอกไกโดโดยไฟล์ทบินตรงได้อย่างสะดวก
ระยะเวลาในการเดินทางไฟล์ทตรงจากกรุงเทพฯไปยังซัปโปโรใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมงครึ่ง
หากคุณต้องการเดินทางไปยังฮอกไกโด ฤดูหนาวเป็นช่วงเวลาที่แนะนำว่าควรไป เพราะนอกจากนักท่องเที่ยวสามารถเพลิดเพลินกับอาหารทะเลที่สดใหม่ในราคาที่ถูกกว่ากินที่เมืองไทย ชาวไทยต้องโดนสักครั้งในชีวิต ได้แก่ ปูทาระบะ (タラバガニ) ปูสุวะอิ (ズワイガニ) ปูขน (毛ガニ) หอยเชลล์ไซส์ใหญ่ ไข่ปลาอิคุระ หอยเม่นหรือที่รู้จักกันว่า “อุนิ” เป็นต้น
แม้ว่าจะมีร้านซูชิสายพานสี่เหลี่ยมที่สนามบินนิวชิโตเสะ (New Chitose International Airport) ที่เกาะฮอกไกโดที่มีคุณภาพอาหารทะเลสดใหม่ที่ถือว่าดีมากๆ แต่คุณก็ยังสามารถหาร้านอร่อยๆได้ทั่วไปในตัวเมือง โดยที่ไม่ต้องไปตามหาร้านดัง กินตามที่คนอื่นรีวิวไว้
นอกจากนี้ เมืองซัปโปโรยังเป็นที่รู้จัก ถ้าพูดถึงเทศกาลหิมะที่จัดขึ้นเดือนกุมภาพันธ์เป็นประจำทุกปี โดยจะมีการจัดแสดง “งานประติมากรรมหิมะ” และ “งานแกะสลักน้ำแข็ง” ที่จุตรัสใจกลางเมืองซัปโปโร ซึ่งเป็นที่เทศกาลที่ควรค่าแก่การไปเยี่ยมชมสักครั้งในชีวิต แต่ต้องยอมรับว่า ราคาตั๋วเครื่องบินและราคาที่พักช่วงเทศกาลก็แรงพอตัว เพราะมีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศจำนวนมาต้องการเข้าร่วมงานดังกล่าวเป็นจำนวนมาก
ถึงแม้ว่าอากาศจะหนาวมาก แต่เมืองซัปโปโรมีระบบขนส่งรถไฟใต้ใต้ดินที่ครอบคลุม เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับเดินทางไปยังที่ต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้คุณเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆได้อย่างสะดวกสบาย โดยไม่ต้องเดินผ่าดงหิมะและพื้นน้ำแข็งบนถนน และหลีกเลี่ยง ไม่ต้องทนกับอากาศที่หนาวสุดขั้วข้างบนได้เป็นพักๆ
นักท่องเที่ยวยังสามารถมาเที่ยวที่ฮอกไกโดช่วงฤดูร้อน เพลิดเพลินกับบรรยากาศและอากาศที่เย็นสบาย ถ้าอยากหนีความร้อนจากไทย นี่ก็เป็นอีกตัวเลือกนึงดีที่คุณสามารถมาเที่ยวได้
ฟุกุโอกะ (FUKUOKA)
ฟุกุโอกะก็เป็นหนึ่งในเมืองยอดนิยมของญี่ปุ่นที่มีเที่ยวบินตรงจากเมืองไทยเช่นกัน ฟุกุโอกะเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดของใต้ของญี่ปุ่นที่มีชื่อว่าเกาะ “คิวชู” (九州) และสนามบินนานาชาติฟุกุโอกะนั้นอยู่ใกล้กับใจกลางเมืองมาก ซึ่งก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเที่ยวกัน
สามารถบินตรงจากกรุงเทพฯไปยังฟุกุโอกะด้วยไฟล์ทตรง โดยใช้เวลาอยู่ที่ประมาณ 5 ชั่วโมง
นักท่องเที่ยวสามารถเพลิดเพลินกับอาหารท้องถิ่นของคิวชูและช้อปปิ้งในตัวเมืองฟุกุโอกะได้ สถานที่สำคัญที่ต้องไปเยี่ยมชมคือวัด “Dazaifu Tenmangu” (太宰府天満宮) ซึ่งมีชื่อเสียงที่นักศึกษาที่ต้องการจะสอบให้ผ่านจะไปขอพรที่นี่กัน แถวระแวกนี้มีร้านราเมนข้างทางอร่อยๆให้ทานด้วย นอกจากนี้ยังสามารถเยี่ยมชมวิวบนเรือล่องแม่น้ำสวยๆ ที่ “Yanagi-Kawa no Kawa-Kudari” (柳川の川下り) สำหรับคนที่ไม่ชอบเดินเยอะ
ถึงแม้ว่าร้าน “ราเมน” ผุดเป็นดอกเห็ดในเมืองไทยเต็มไปหมด แต่ฟุกุโอกะเป็นที่รู้จักในฐานะเมืองต้นกำเนิดของราเมนน้ำซุปกระดูกหมู (Tonkotsu Ramen) ซึ่งไหนๆ มาเที่ยวแล้วก็ควรจะลิ้มลองรสชาติออริจินอลของขึ้นชื่อของที่นี่ อาจจะรสชาติต่างกับที่ไทยไม่มากก็น้อย
ถ้าพูดถึงของอร่อยขึ้นชื่อท้องถิ่น ก็ไม่พ้น หม้อไฟ Motsu Nabe (もつ鍋) Mizutaki (水炊き) Yaki-tori (焼き鳥) และอาหารจานอื่นๆ อีกมากมายให้ลองลิ้มลองกัน ทำให้การเที่ยวของคุณเป็นสนุกสนาน เลือกกินเมนูได้ไม่ซ้ำวัน!
นอกจากนี้ อุด้งยังเป็นของชื่อของที่นี่ ที่มีชื่อเรียกกันว่า Hakata Udon (博多うどん) เป็นของกินขึ้นชื่ออีกที่มีเป็นลักษณะของเส้นที่มีลักษณะเฉพาะตัว ไม่เหนียวหนึบหนับแต่มีความนุ่ม แนะนำให้กันกับเท็มปุระและรากไม้โกโบจะอร่อยมาก แนะนำให้ทุกคนลอง!
ฟุกุโอกะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่ใกล้จากเมืองไทย ใช้เวลาบินไม่นานก็สามารถมาเพลิดเพลินกับบรรยากาศแบบญี่ปุ่นได้
จังหวัดไอจิ (AICHI)
เมื่อพูดถึงจังหวัดไอจิ (Aichi Prefecture) คงแทบจะไม่มีใครเคยได้ยิน แต่พอพูดถึงเมือง “นาโกย่า” (名古屋) คงจะร้องอ๋อกันเป็นแถว เพราะคุ้นชื่อคุ้นหูกันเป็นอย่างดี นักท่องเที่ยวที่มาที่จังหวัดไอจินอกจากเมืองนาโกย่าแล้ว ส่วนมากจะขึ้นเหนือไปเที่ยวที่จังหวัด Gifu (岐阜)เพื่อไปเยี่ยมชมมรดกโลกเมือง Shiragawa-go (白川郷) และเมือง Kanazawa(金沢) ของจังหวัด Ishikawa (石川県) ซึ่งเป็นรูทท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลาย
“เมืองนาโกย่า” ประจำจังหวัดไอจินั้นถือว่าเป็นเมืองขนาดค่อนข้างใหญ่ และเต็มไปด้วยแหล่งช็อปปิ๊ง อาหารขึ้นชื่อของนาโกย่าคือปลาไหลหรือที่เรียกกันว่า “อุนางิ” และสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นสัญลักษณ์เชิงวัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่นอย่าง “ปราสาทนาโกย่า” ก็ควรมาเยี่ยมชม สำหรับใครที่มาเป็นกลุ่มเพื่อนหรือครอบครัวขอแนะนำสวนสนุก Lego Land ที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เป็นที่เที่ยวยอดนิยมทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติ
นอกจากนี้ เดินทางจากนาโกย่าขึ้นไปทางเหนือใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงด้วยรถยนต์ ก็ถึงสถานที่สำคัญอีกแห่งของญี่ปุ่นซึ่งก็คือ “Shiragawa-go” ของจังหวัด Gifu นั่นเอง ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวประวัติศาสตร์ที่ได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลก UNESCO ที่หมู่บ้านเก่าแก่แห่งนี้ จะสร้างบ้านด้วยสถาปัตยกรรมดั้งเดิมแบบเฉพาะตัวแบบเรือนทรงโบราณที่เรียกว่ากัตโชสึคุริฟาร์มเฮ้าส์ (合掌造り集落) หมู่บ้านแห่งนี้มีบ้านเรือนขนาดใหญ่ลักษณะนี้มากกว่า 100 หลัง และยังเป็นสถานที่ที่คนยังคงใช้ชีวิตประจำวันอยู่
จากหมู่บ้านโบราณ Shiragawa-go ขึ้นเหนือไปต่อมุ่งหน้าสู่ “เมืองคานาซาวะของจังหวัดอิชิกะวะ” เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมเรื่องอาหารทะเลที่สดและอร่อย นอกจากนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ เช่น เขตซามูไรของนางามะจิ (長町武家屋敷跡) สวนเค็นโรคุเอ็น (兼六園) ฮิงาชิฉะยะไก (ひがし茶屋街) ตลาดโอมิโจ (近江町市場) สถานที่ท่องเที่ยวเหล่านี้อยู่ไม่ไกลกันจึงเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยว
เส้นทางท่องเที่ยวรูท Nagoya Gifu และ Ishikawa นั้น แนะนำสำหรับผู้ที่วางแผนมาเที่ยวญี่ปุ่นนานกว่าทริปทั่วไป หรือเหมาะสำหรับผู้ที่เคยมาเที่ยวญี่ปุ่นก่อนหน้านี้แล้ว
จะไปเที่ยวญี่ปุ่นทั้งที อุปกรณ์และอินเตอร์เน็ตต้องพร้อม!
จะเดินทางครั้งแรกไปญี่ปุ่น ต้องให้ชัวร์ ไหนจะต้องใช้สมาร์ทโฟนดูแผนที่ โพสต์ภาพและแคปชั่นสวยๆลงโซเชี่ยล เช็คข้อมูลร้านอาหารว่าวันนี้จะกินอะไรดี และใช้แอพพลิเคชันแปลภาษาอีก ดังนั้น สัญญานอินเตอร์เน็ต โรมมิ่ง สมาร์ทโฟนต้องพร้อมและจัดเต็ม!
ใช้ฟังก์ชันของสมาร์ทโฟนหลากหลายแบบนี้ แน่นอนว่าต้องเตรียม SIM Card หรือแพ็คเกจWi-Fi ที่ไม่จำกัดจำนวนดาต้า
เราขอแนะนำบริการ SIM Card หรือแพ็คเกจ Wi-Fi ที่สามารถใช้ได้ไม่อัน สำหรับคนที่กำลังจะไปเที่ยวที่ญี่ปุ่น” ซึ่งมีบริการอยู่ 2 แบบด้วยกัน
TRAVeSIM JAPAN UNLIMITED DATA
“TRAVeSIM JAPAN SIM DATA UNLIMITED” มีอยู่ 3 ประเภท สามารถ
อ้างอิงข้อมูลได้จากด้านล่างนี้
ปริมาณอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง | ไม่จำกัด |
ประเภทของซิมการ์ด | Physical SIM |
การแชร์อินเตอร์เน็ต | สามารถใช้งานได้ (7 วัน: 6GB, 10 วัน: 9GB, 15 วัน: 15GB) |
เครือข่ายที่ใช้งาน | au |
อินเตอร์เน็ต | 5G / 4G |
ระยะเวลาที่สามารถใช้งานได้ | 7 วัน/ 10 วัน/ 15 วัน |
ราคา | 749THB/ 999THB/ 1,499THB |
จากที่กล่าวไปข้างต้น SIM Card ทั้ง 3 ประเภทนั้นแบ่งตามจำนวนวันที่สามารถใช้งานได้ คือ 7 วัน 10 วัน และ 15 วัน และไม่ว่าจะเป็นประเภทไหนก็สามารถใช้งานอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงได้ไม่จำกัด
ถ้ามี “TRAVeSIM JAPAN SIM DATA UNLIMITED” เมื่อไปเที่ยวญี่ปุ่น ก็ไม่ต้องกังวลว่าอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงจะหมดในระหว่างท่องเที่ยวอีกต่อไป
สำหรับรายละเอียดสินค้าเพิ่มเติม สามารถตรวจสอบข้อมูลจากลิงค์ด้านล่างนี้ได้เลย
Skyberry JAPAN Premium
ถ้าคุณกำลังหาที่ให้บริการเช่า Pocket Wi-Fi ขอแนะนำให้เลือกใช้ Skyberry บริการเพิ่มเติมจาก berrymobile ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมจากประเทศญี่ปุ่นที่ให้บริการในประเทศไทยมาเป็นเวลานานกว่า 15 ปี
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขอแนะนำแพ็คเกจ JAPAN Premium ของ Skyberry ที่เป็นที่นิยมที่สุด ณ ตอนนี้คุณสามารถเพลิดเพลินกับบริการสัญญานอินเตอร์เน็ตโรมมิ่งที่ไม่สะดุด ใช้ได้ไม่อั้น ไม่มีจำกัด
เดินทางไปเป็นครอบครัว กลุ่มเพื่อนหลาย แค่เครื่อง Skyberry Japan Premium เครื่องเดียวก็เอาอยู่ สามารถแชร์กันได้ ประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีก!
สามารถอ้างอิงรายละเอียดสินค้าที่เว็บไซต์ทางการ Skyberry ด้านล่างนี้ได้เลย
TRAVeSIM Support Desk
หากมีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ตามข้อมูลที่ระบุด้านล่าง
เวลาทำการ | 10:30 – 18:30 น. (เวลาประเทศไทย GMT+7) |
เบอร์โทร | +66-(0)2-105-4568 |
อีเมล | ec@berrymobile.me |